วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

5 วิธีลดหน้าท้อง สำหรับผู้ต้องการมีหน้าท้องที่แบนราบ


วิธีลดหน้าท้อง
     การลดหน้าท้อง นั้น สามารถทำได้โดยการออก กำลัง กายโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่นการ 
sit up วิธีง่ายๆ ก็คือให้อบอุ่นร่างกายก่อนเป็นเวลา 15 นาที อาจจะทำได้โดยการวิ่งเหยาะๆ หรือเดินเร็วจนเริ่มเหนื่อยนิดๆ จากนั้นให้นอนหงายลงกับพื้น เอาสองมือประสานไว้ที่ ใต้ศรีษะแล้วยกตัวขึ้นมา 
45 องศา ค้างไว้นิดหน่อย (นับ 1 - 5 ในใจ) แล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนราบเหมือนเดิมทำแบบนี้วันละ 
10 ครั้ง จะช่วยได้ 



วิธีลดไขมันหน้าท้อง 

     ปัญหาของไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างมากนะครับ การจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ต้องเลือกแล้วเลือกอีกกว่าจะพรางบริเวณนั้นได้ ช่างเป็นอะไรที่ทรมานจิตใจที่สุดจะไปไหนมาไหนต้องเสียเวลากับเรื่องนี้เรื่องเดียว แต่อย่าเพิ่งกังวลใจเรามีวิธีลดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องมาแนะนำยังไงก็ลองทำดูนะครับ
     1.วิธีการรับประทานอาหารควรเคี้ยวให้ช้า ๆ และค่อย ๆ กลืน การเคี้ยวอาหารอย่างช้าเป็นการช่วยให้ระบบย่อยอาหารไม่มีปัญหา และการกลืนต้องระวังเรื่องอากาศถ้าเข้าท้องมาก ๆ ท้องคุณอาจบวมได้ครับ 
     2.วิธีดื่มน้ำไม่ควรดื่มน้ำไปทานอาหารไป จะทำให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะคุณอยู่นานขึ้น การดื่มน้ำควรจะดื่มก่อนหรือหลังสัก 30 นาทีจะมีผลดีกว่าครับ 

     3.วิธีการกดเส้น ก็เป็นอีกวิธีที่สามารถช่วยลดอาการบวมหรือการกระตุ้นการย่อยอาหารได้ คุณใช้ปลายนิ้วกดลงที่ใต้เข่าบริเวณหน้าแข้งกดไว้สักประมาณ 1 นาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยมือออกจะช่วยได้มาก    
     4.วิธีเติมน้ำมะนาวลงในเครื่องดื่ม น้ำมะนาวจะช่วยให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบในร่างกายของคุณเป็นอย่างดีและถูกต้อง      
     5.วิธีแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ คุณหาน้ำว่านหางจระเข้มาดื่มสักแก้ว จะช่วยให้กระเพาะอาหารของคุณดีขึ้นและรู้สึกหายจากอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้มาก



ข้อขอบคุณข้อมูลจาก
http://atcloud.com/stories/33744

ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม



        สำหรับ "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ


       โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น 
  • น้ำ 85.3 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
  • โปรตีน 1.9 กรัม
  • ไขมัน 0.8 กรัม
  • กาก 5.2 กรัม
  • แคลเซียม 124 มิลลิกรัมล
  • ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
  • เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
  • วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
  • ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 8 มิลลิกรัม


          มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ
  • ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

  • ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม      

  • รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น
  • ช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น 
  • ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม   
          นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้ 

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติกีฬาแบดมินตัน


          แบดมินตัน นับได้ว่าเป็นกีฬาอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกีฬาที่ใช้อุปกรณ์การเล่นน้อยชิ้น เพียงแค่มีไม้แร็คเกต และลูกขนไก่ รวมถึงผู้เล่นเพียง 2 คน ก็สามารถเล่นได้แล้ว อีกทั้ง ยังเป็นกีฬาสบาย ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการออกกำลังกายอย่างหักโหมเกินไป ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดผู้คนการเล่นแบดมินตันจึงแพร่หลายไปสู่คนทั่วโลก จนกระทั่งได้กลายเป็นกีฬาสากลที่ทั่วโลกยอมรับ และวันนี้เราก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกีฬาแบดมินตันมาฝากกันครับ

ประวัติแบดมินตัน

          แบดมินตัน (Badminton) เป็นกีฬาที่ได้รับการวิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงที่มาของกีฬาประเภทนี้ คงมีแต่หลักฐานบางอย่างที่ทำให้ทราบว่า กีฬาแบดมินตันมีเล่นกันในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ ตอนปลายศตวรรษที่ 17 และจากภาพสีน้ำมันหลายภาพได้ยืนยันว่า กีฬาแบดมินตันเล่นกันอย่างแพร่หลายในพระราชวงศ์ของราชสำนักต่าง ๆ ในทวีปยุโรป แม้ว่าจะเรียกกันภายใต้ชื่ออื่นก็ตาม

          โดยกีฬาแบดมินตันได้รับการบันทึกแบบเป็นลายลักษณ์อักษรในปี พ.ศ. 2413 ซึ่งพบว่า มีการเล่นกีฬาลูกขนไก่เกิดขึ้นที่เมืองปูนา (Poona) ในประเทศอินเดีย เป็นเมืองเล็ก ๆ ห่างจากเมืองบอมเบย์ประมาณ 50 ไมล์ โดยได้รวมการเล่นสองอย่างเข้าด้วยกันคือ การเล่นปูนาของประเทศอินเดีย และการเล่นไม้ตีกับลูกขนไก่ (Battledore Shuttle Cock) ของยุโรป

          ในระยะแรก การเล่นแบดมินตันจะเล่นกันเพียงแต่ในหมู่นายทหารของกองทัพ และสมาชิกชนชั้นสูงของอินเดียเท่านั้น จนกระทั่งมีนายทหารอังกฤษที่ไปประจำการอยู่ที่เมืองปูนา นำการเล่นตีลูกขนไก่นี้กลับไปอังกฤษ และเล่นกันอย่างกว้างขวาง ณ คฤหาสน์แบดมินตัน (Badminton House) ของดยุคแห่งบิวฟอร์ด ที่กลอสเตอร์เชียร์ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2416 เกมกีฬาตีลูกขนไก่เลยถูกเรียกว่า แบดมินตัน ตามชื่อคฤหาสน์ของดยุคแห่งบิวฟอร์ดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ทั้งนี้ กีฬาแบดมินตันก็เริ่มแพร่หลายในประเทศแถบภาคพื้นยุโรป เนื่องจากเป็นเกมที่คล้ายเทนนิส แต่สามารถเล่นได้ภายในตัวตึก โดยไม่ต้องกังวลต่อลมหรือหิมะในฤดูหนาว นอกจากนี้ ชาวยุโรปที่อพยพไปสู่ทวีปอเมริกา ยังได้นำกีฬาแบดมินตันไปเผยแพร่ รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชียและออสเตรเลียที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ต่างนำเกมแบดมินตันไปเล่นยังประเทศของตนเองอย่างแพร่หลาย เกมกีฬาแบดมินตันจึงกระจายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย

          สำหรับการเล่นแบดมินตันในระยะแรกไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว เพียงแต่เป็นการตีโต้ลูกกันไปมาไม่ให้ลูกตกพื้นเท่านั้น ส่วนเส้นแบ่งแดนก็ใช้ตาข่ายผูกโยงระหว่างต้นไม้สองต้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องต่ำสูง เล่นกันข้างละไม่น้อยกว่า 4 คน ส่วนมาจะเล่นทีมละ 6 ถึง 9 คน ผู้เล่นสามารถแต่งตัวได้ตามสบาย

          จนกระทั่งปี พ.ศ.2436 ได้มีการจัดตั้งสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศอังกฤษขึ้น ซึ่งนับเป็นสมาคมแบดมินตันแห่งแรกของโลก หลังจากที่มีการจัดแข่งขันแบดมินตันชิงชนะเลิศแห่งประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกกันว่า ออลอิงแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2432 ทางสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศอังกฤษจึงได้ตั้งกฎเกณฑ์ของสนามมาตรฐานขึ้นคือ ขนาดกว้าง 22 ฟุต ยาว 45 ฟุต (22 x 45) เป็นสนามขนาดมาตรฐานประเภทคู่ที่ใช้ในปัจจุบัน จากนั้นจึงมีการปรับปรุงดัดแปลงในเรื่องอุปกรณการเล่นให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก โดยประเทศในเอเชียอาคเนย์ที่มีการเล่นกีฬาแบดมินตันและได้รับความนิยมสูงสุดคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย

          ส่วนการแข่งขันระหว่างประเทศได้เริ่มจัดให้มีขึ้นในปี พ.ศ. 2445 และตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จำนวนประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาแบดมินตันระหว่างประเทศมีมากว่า 31 ประเทศ แบดมินตันได้กลายเป็นเกมกีฬาที่เล่นกันระหว่างชาติ โดยมีการยกทีมข้ามประเทศเพื่อแข่งขันระหว่างชาติในทวีปยุโรป ในปี พ.ศ.2468 กลุ่มนักกีฬาของประเทศอังกฤษได้แข่งขันกับกลุ่มนักกีฬาประเทศแคนาดา ห้าปีหลังจากนั้นพบว่าประเทศแคนาดามีสโมสรสำหรับฝึกแบดมินตันมาตรฐานแทบทุกเมือง

          ในปี พ.ศ.2477 สมาคมแบดมินตันของประเทศอังกฤษเป็นผู้นำในการก่อตั้งสหพันธ์แบดมินตันระหว่างประเทศ โดยมีชาติต่าง ๆ อีก 8 ชาติคือ แคนาดา เดนมาร์ก อังกฤษ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สก๊อตแลนด์ และเวลล์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงลอนดอน ปัจจุบันมีประเทศที่อยู่ในเครือสมาชิกกว่า 60 ประเทศ ที่ขึ้นต่อสหพันธ์แบดมินตันระหว่างประเทศ (I.B.F.) สหพันธ์มีบทบาทสำคัญในการกำหนด และควบคุมกติการะเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ของการแข่งขันกีฬาแบดมินตันทั่วโลก

          ในปี พ.ศ.2482 เซอร์ จอร์จ โทมัส นักแบดมินตันอาวุโสชาวอังกฤษเป็นผู้มอบถ้วยทองราคา 5,000 ปอนด์ เพื่อมอบเป็นรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศประเภทชาย ในการแข่งขันแบดมินตันระหว่างประเทศ ซึ่งสหพันธ์แบดมินตันได้รับไว้และดำเนินการตามประสงค์นี้ แม้ว่าตามทางการจะเรียกว่า การแข่งขันชิงถ้วยชนะเลิศแบดมินตันระหว่างประเทศ แต่นิยมเรียกกันว่า โธมัสคัพ (Thomas Cup) การแข่งขันจะจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี โดยสหพันธ์ได้แบ่งเขตการแข่งขันของชาติสมาชิกออกเป็น 4 โซน คือ

1. โซนยุโรป
2. โซนอเมริกา
3. โซนเอเชีย
4. โซนออสเตรเลเซีย (เดิมเรียกว่าโซนออสเตรเลีย)

          วิธีการแข่งขันจะแข่งขันชิงชนะเลิศภายในแต่ละโซนขึ้นก่อน แล้วให้ผู้ชนะเลิศแต่ละโซนไปแข่งขันรอบอินเตอร์โซนเพื่อให้ผู้ชนะเลิศทั้ง 4 โซน ไปแข่งขันชิงชนะเลิศกับทีมของชาติที่ครอบครองดถ้วยโธมัสคัพอยู่ ซึ่งได้รับเกียรติไม่ต้องแข่งขันในรอบแรกและรอบอินเตอร์โซน ชุดที่เข้าแข่งขันประกอบด้วยผู้เล่นอย่างน้อย 4 คน การที่จะชนะเลิศนั้นจะตัดสินโดยการรวมผลการแข่งขันของประเภทชายเดี่ยว 5 คู่ และประเภทชายคู่ 4 คู่ รวม 9 คู่ และใช้เวลาการแข่งขัน 2 วัน การแข่งขันชิงถ้วยโธมัสคัพครั้งแรกจัดให้มีขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2491-2492

          ต่อมาในการแข่งขันแบดมินตันโธมัสคัพ ครั้งที่ 8 ปี พ.ศ. 2512-2513 สหพันธ์ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการแข่งขันเล็กน้อย โดยให้ชาติที่ครอบครองถ้วยอยู่นั้นเข้าร่วมแข่งขันในรอบอินเตอร์โซนด้วย โดยวิธีการจับสลากแล้วแบ่งออกเป็น 2 สาย ผู้ชนะเลิศแต่ละสายจะได้เข้าแข่งขันชิงชนะเลิศโธมัสคัพรอบสุดท้ายต่อไป สาเหตุที่สหพันธ์เปลี่ยนแปลงการแข่งขันใหม่นี้ เนื่องจากมีบางประเทศที่ชนะเลิศได้ครอบครองถ้วยโธมัสคัพไม่รักษาเกียรติที่ได้รับจากสหพันธ์ไว้ โดยพยายามใช้ชั้นเชิงที่ไม่ขาวสะอาดรักษาถ้วยโธมัสคัพไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า สหพันธ์จึงต้องเปลี่ยนข้อบังคับให้ชาติที่ครอบครองถ้วยอยู่นั้นลงแข่งขันในรอบอินเตอร์โซนดังกล่าวด้วย

          กีฬาแบดมินตันได้แพร่หลายขึ้น แม้กระทั่งในกลุ่มประเทศสังคมนิยมก็ได้มีการเล่นเบดมินตันอย่างกว้างขวาง มีการบรรจุแบดมินตันเข้าไว้ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ การแข่งขันกีฬาของประเทศในเครือจักภพสหราชอาณาจักร รวมทั้งการพิจารณาแบดมินตันเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ล้วนแต่เป็นเครื่องยืนยันว่า แบดมินตันได้กลายเป็นกีฬาสากลแล้วอย่างแท้จริง


ประวัติแบดมินตันในประเทศไทย
     
          การเล่นแบดมินตันได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในราวปี พ.ศ. 2456 โดยเริ่มเล่นกีฬาแบดมินตันแบบมี ตาข่าย โดยพระยานิพัทยกุลพงษ์ ได้สร้างสนามขึ้นที่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองสมเด็จเจ้าพระยาธนบุรี แล้วนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายออกไป ส่วนมากเล่นกันตามบ้านผู้ดีมีตระกูล วังเจ้านาย และในราชสำนัก การเล่นแบดมินตันครั้งนั้น นิยมเล่นข้างละ 3 คน ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2462 สโมสรกลาโหมได้เป็นผู้จัดแข่งขันแบดมินตันทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรก โดยจัดการแข่งขัน 3 ประเภทได้แก่ ประเภทเดี่ยว ประเภทคู่ และประเภทสามคน ปรากฏว่าทีมแบดมินตันบางขวางนนทบุรี (โรงเรียนราชวิทยาลัยบางขวางนนทบุรี) ชนะเลิศทุกประเภท นอกจากนี้ มีนักกีฬาแบดมินตันฝีมือดีเดินทางไปแข่งขันยังประเทศใกล้เคียงอยู่บ่อยๆ

          ในปี พ.ศ. 2494 พระยาจินดารักษ์ได้ก่อตั้งสมาคมชื่อว่า "สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย" เมื่อแรกตั้งมีอยู่ 7 สโมสร คือ สโมสรสมานมิตร สโมสรบางกอก สโมสรนิวบอย สโมสรยูนิตี้ สโมสร ส.ธรรมภักดี สโมสรสิงห์อุดม และสโมสรศิริบำเพ็ญบุญ ซึ่งในปัจจุบันนี้เหลือเป็นสโมสรสมาชิกของสมาคมอยู่เพียง 2 สโมสร คือ สโมสรนิวบอย และสโมสรยูนิตี้เท่านั้น และในปีเดียวกัน สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยก็ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์แบดมินตันนานาชาติด้วย สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยมีนักกีฬาแบดมินตันที่มีฝีมือดีอยู่มาก ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยจากการลงแข่งขันใน รายการต่าง ๆ ของโลกเป็นอย่างมาก ทั้งโธมัสคัพ อูเบอร์คัพ และการแข่งขันออลอิงแลนด์ โดยวงการแบดมินตันของไทยยกย่อง นายประวัติ ปัตตพงศ์ (หลวงธรรมนูญวุฒิกร) เป็นบิดาแห่งวงการแบดมินตันของประเทศไทย




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
thaibadminton.com

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไร่สตอเบอร์รี่

ไร่สตอเบอร์รี่ไผ่สีทอง


เค้าว่ากันว่า "สตรอเบอร์รี่" (Strawberry) ผลไม้สีแดงสด รูปร่างหน้าตาน่ารัก มีรสชาติหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี กรดโฟลิก และเส้นใยอาหาร อีกทั้งยังสามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย ทั้งไวน์ แยม และน้ำผลไม้นั้น ยังเป็นผลไม้ "ขี้อาย" เพราะมันชอบหลบใต้ใบสีเขียว ๆ อีกด้วย ^0^ 

          โดยที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นแหล่งปลูกสตรอเบอร์รี่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย แถมยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้แวะเข้าไปท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเจ้าของไร่ยังใจดีเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเก็บลูกสตรอว์เบอร์รี่จากต้นได้เองอีกด้วย งานนี้โดนใจนักท่องเที่ยวสุด ๆ ไปเลยนะครับ





ไร่สตรอเบอร์รี่ไผ่สีทอง

          ไร่ไผ่สีทอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อนในวันหยุด ที่สามารถพากันมาได้ทั้งครอบครัว ที่นี่พื้นที่ภายในไร่ ยังมีบริการที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม ในบรรยากาศของชาวไร่สตรอเบอร์รี่สะเมิงไว้ให้ได้ชื่นชม ดื่มด่ำบรรยากาศของไร่สตรอเบอร์รี่สะเมิงแท้ ๆ อีกทั้งสตรอเบอร์รี่ที่นี่ยังปลอดยาฆ่าแมลง 100% ทุกกระบวนการเพาะปลูก โดนเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยและใส่ใจทุกขั้นตอน ทั้งนี้ หากคุณได้มาเยือนในไร่ไผ่สีทอง จะสามารถสัมผัสถึงวิถีชีวิตของชาวไร่สตรอเบอร์รี่ได้ และยังสามารถมีกิจกรรมร่วมกัน คือ การเก็บสตรอเบอร์รี่จากสวน และซึ่งในหนึ่งปีจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีฟองดูสตรอเบอร์รี่สด ๆ น้ำสตรอเบอร์รี่ให้ได้ชิมกัน รวมถึงมีที่พักแบบชาวสวนบริการด้วย อีกทั้งยังไม่เก็บค่าเข้าชม และสตรอเบอร์รี่ที่เก็บสามารถซื้อได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด






          ที่ตั้ง : หมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ 
          เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.30 น. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนเท่านั้น
          โทรศัพท์ : 086-312-5680 และ 081-180-5258
          เว็บไซต์ : www.strawberrychiangmai.com

เกาะนางยวน

                เกาะนางยวน 

                   เสน่ห์ธรรมชาติ น้ำทะเลใสสีมรกต



"เกาะนางยวน" เป็นเกาะหนึ่งในจำนวน 100 เกาะของจังหวัดสุราษฏร์ธานี อยู่ปลายของเกาะเต่า มองเห็นเป็นเกาะเล็กๆ 3 เกาะซึ่งเชื่อมต่อด้วยหาดทรายสีขาว 3 สาย เสน่ห์ของเกาะนางยวนนั้น มาจากน้ำทะเลสีมรกตที่ใสจนมองเห็นตัวปลาตัวเล็กตัวน้อย เปลือกหอย และปะการัง ซึ่งอยู่ใต้น้ำอย่างชัดเจน ส่วนกิจกรรมสุดฮิตของที่นี่คือ การดำน้ำดูปะการังปละปลาสวยงาม เล่นน้ำริมหาด จะว่าไปนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เลือกมาท่องเที่ยวและพักผ่อนที่นี่นั้น เหตุเพราะมีบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว อากาศสดชื่น ทั้งยังมีความเขียวขจีของเขาเล็กๆ 3 เขารายรอบ และความงามของท้องทะเลมาบรรจบกัน




หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีใจรักธรรมชาติ หลงรักน้ำทะเล ชอบความเป็นส่วนตัว และต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง อย่าลืมมาพักผ่อนที่ "เกาะนางยวน" นะครับ



ข้อควรทราบเมื่อขึ้นเกาะนางยวน  

          เกาะนางยวน เป็นเกาะเอกชนที่เปิดรับนักท่องเที่ยวขึ้นเที่ยวเกาะ  คิดค่าธรรมเนียมขึ้นเกาะ 30 บาท ห้ามน้ำขวดพลาสติก อาหาร กระป๋องเครื่องดื่มขึ้นเกาะ ห้ามเก็บเปลือกหอยหรือซากปะการัง ออกจากเกาะนางยวน ทั้งนี้ การดำน้ำที่เกาะนางยวนห้ามใช้ตีนกบเด็ดขาด




การเดินทางไปเกาะนางยวน
          นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเกาะนางยวนได้ โดยเช่าเรือหางยาวจากเกาะเต่ามาที่เกาะนางยวน (การเดินทางไปเกาะเต่าใช้ 2 เส้นทางคือ จากท่าเรือที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร) ซึ่งจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเกาะนางยวนอยู่ใกล้กับเกาะเต่ามาก ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สุราษฎร์ธานี โทร.0-7728-8818-9 และประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร.0-7728-3970 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดบทที่ 4

แบบฝึกหัด

บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ

1. ให้นิสิตยกตัวอย่างอุกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิดแล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
    1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
         - HARD DISK
         - THUMB DRIVE
         - FLOPPY DISK
    2) การแสดงผล
         - MONITORS
         - PROJECTOR
         - PRINTER
    3) การประมวลผล
         - CPU
         - RAM
         - GRAPHIC CARD
    4) การสื่อสานและเครือข่าย
        - NOTEBOOK
        - MOBILE
        - NETBOOK

1. ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความสัมพันธ์กัน


..8.. ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1.ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล 
..3.. Information Technology
2. e-Revenue 
..1.. คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำและความรวดเร็วในการนำไปใช้

..4.. เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกิบด้วย
4. มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และ Decoder

..10.. ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และ
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย 
..7.. ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 
..9.. การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดียที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิมเตอร์ 
..5.. EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท 
..6.. การสื่อสารโทรคมนาคม
9. CAI 
..2.. บริการชำระภาษีออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ 

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดบทที่ 2

แบบฝึกหัด

บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศกับสังคม

1. ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่างๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ

     1.1 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
        - ระบบวิดีโอออนดีมานด์ (Video on Demand)
        - วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์
        - อิเล็กทรอนิกส์บุค

     1.2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน
        - E-commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        - E-business เป็นธุรกิจเชิงอิเล็กทรอนิกส์
        - การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI)

     1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน
        - ระบบสื่อสารสัญญาณดิจิตอลความเร็วสูง Digital Data Network หรือเรียกย่อๆ ว่า DDN
        - บริการสื่อสารร่วมระบบดิจิตอล ISDN (Integrated Services Digital Network)
        - DDN บริการธุรกิจด้วยโครงข่ายอัจฉริยะ

     1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
        - คอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ
        - คอมพิวเตอร์ช่วยควบคุมการผลิต
        - คอมพิวเตอร์ช่วยคุมหุ่นยนต์ทำงาน

     1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
        - ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) 
        - ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล (medical consultation)
        - ระบบการศึกษาทางไกล (Distance Learning)

     1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
        - ระบบตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมืออัตโนมัติ (AFIS)
        - ระบบทะเบียนประวัติอาชญากร (CDOS)
        - ระบบสถิติคดีอาญา (CSS)

      1.7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
        - http://www.eeat.or.th/
        - http://www.eit.or.th/
        - วิศวกรรมซอฟต์แวร์

      1.8 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
        - http://www.moac.go.th/
        - http://www.doa.go.th/
        - http://www.ricethailand.go.th/

      1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ
      - เบรลล์เอาต์พุต (Braille Output)
      - เครื่องแปลอักษรเบรลล์ (Braille Translation)
      - เครื่องอ่านหน้าจอ (Screen Reader)

2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง
       - การยืมหนังสือ ออนไลน์
       - การลงทะเบียนเรียนออนไลน์
       - การบริการข่าวสารหน้าเว็บของมหาวิทยาลัย

3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง 
       - เราสามารถยืมตอนไหนก็ได้ถึงแม้ว่าเราจะติดธุระก็ตาม
       - อำนวยความสะดวกทำให้เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลหรือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนเราก็สามารถลงทะเบียน ได้จาก http://reg.msu.ac.th/
       -  สามารถติดตามข่าวสารจากทางมหาวิทยาลัย และรายละเอียดต่างๆ ได้จาก http://www.msu.ac.th/